ผู้โดยสารรู้ทัน ลุงแท็กซี่ปรับมิเตอร์ สุดท้ายไปพิสูจน์กันที่ขนส่งฯ

ผู้โดยสารรู้ทัน มิเตอร์ขึ้นเร็ว


ภาพดัดแปลงจาก: Kaew Nutnaree

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Kaew Nutnaree ได้ทำการโพสต์ภาพและวิดีโอคลิป เล่าเรื่องที่ตัวเธอและเพื่อนถูกลุงแท็กซี่โกงมิเตอร์ที่เรียกจากสนามบินดอนเมืองไปอ่อนนุช จนทำให้ทั้งผู้โดยสารและคนขับต้องพากันไปที่สถานีตำรวจบริเวณใกล้เคียง ก่อนจะจบลงที่กรมขนส่งทางบก โดยได้ข้อสรุปว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มราคาและระยะผ่านปุ่มบริเวณคนขับจริง

เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงแรกที่อยู่ในรถ เจ้าของโพสต์ยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเพื่อนได้ยื่นระยะทางในแอปพลิเคชันแผนที่ในโทรศัพท์มือถือให้ดู ซึ่งบอกว่าขับออกมาจากสนามบินฯ มาเป็นระยะทาง 15 กม. แต่เมื่อดูที่จอมิเตอร์แล้วกลับขึ้นว่า 25 กม. 

เห็นดังนั้นตนจึงออกปากให้ลุงคนขับหยุดเพื่อที่จะขึ้นคันอื่น โดยบอกเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาตนรู้ว่าลุงกำลังโกงมิเตอร์ แต่คนขับปฏิเสธว่าไม่เป็นจริง และบอกว่าเป็นเพราะผู้โดยสารไม่เลือกที่จะขึ้นทางด่วนเอง


“ไปส่งโรงพัก” แต่ถ้าไม่ผิดคนขับขอ 500 เป็นค่าเสียเวลา


หลังจากที่ลุงคนขับปฏิเสธ เจ้าของโพสต์จึงขอให้ไปพิสูจน์กันที่โรงพักในบริเวณใกล้เคียง แม้ว่าคนขับจะนิ่งไปสักครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมไป

เมื่อไปถึงโรงพัก ก็ทราบจากร้อยเวรว่า ต้องนำรถไปตรวจสอบที่กรมขนส่งทางบก ลุงคนขับจึงบอกกับเจ้าของโพสต์ว่าถ้าตรวจไม่พบ จะต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้แก่ตนเป็นเงิน 500 บาท ซึ่งเจ้าของโพสต์ก็ได้ตอบตกลง

เจ้าหน้าที่กำลังทำการตรวจสอบความรถมีการดัดแปลงหรือไม่
ภาพประกอบ: Kaew Nutnaree


ตรวจสอบกว่า 3 ครั้งกว่าจะพบความจริง


เมื่อทั้งหมดไปถึงที่กรมขนส่งฯ เจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการตรวจสอบถึง 3 ครั้งแต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ จนเจ้าของโพสต์เริ่มคิดว่าตนจะต้องเสียเงิน 500 บาทเป็นแน่ ทว่าเคราะห์ดีที่มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งขอตรวจสอบรถแท็กซี่อีกรอบ เพราะไม่ปักใจเชื่อว่าผู้โดยสารจะยอมเสียเวลา 2-3 ชั่วโมงเพื่อพาแท็กซี่มาตรวจหากไม่มีมูลเหตุ

และแล้วเจ้าหน้าที่ก็พบปุ่มต้องสงสัยใต้แผงควบคุมทางด้านขวามือของที่นั่งคนขับ ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่ เจ้าของโพสต์และเพื่อนดีใจไปตามๆ กัน จะเว้นก็แต่ลุงคนขับที่ถึงคราวคอตก จากนั้นทั้งหมดจึงเดินทางกลับไปโรงพักเดิมอีกครั้งเพื่อคุยกับตำรวจ

ลุงคนขับให้การวกวนไปมากับตำรวจเมื่อถูกถามว่าเจ้าของรถเป็นใคร และใครเป็นผู้ติดตั้งปุ่มควบคุมมิเตอร์ดังกล่าว แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามจะแงะปุ่มกดมิเตอร์ออก คนขับจึงยอมรับสารภาพว่า รถแท็กซี่เป็นของตน เพราะกลัวตำรวจจะทำรถพัง เนื่องจากต้องถอดอุปกรณ์ควบคุมมิเตอร์ด้วยตนเอง คาดว่าหลังจากนี้ ลุงแท็กซี่จะถูกดำเนินการทางกฏหมายต่อไป

ภาพประกอบ: Kaew Nutnaree

หลังจากถูกต้อนจนมุมลุงคนขับยังพูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าไม่ทำแบบนี้จะพอกินหรอ” เจ้าของโพสต์จึงตอบกลับว่า เงินที่จ่ายแท็กซี่ก็เป็นเงินที่ตนทำงานมาเหมือนกัน 


เลี่ยงการเผชิญหน้า ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์


ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับผู้อ่านในอนาคต เราไม่แนะนำให้เผชิญหน้ากับคนขับโดยตรง เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง 

คุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกและกรอกแบบฟอร์มการร้องเรียน นอกเหนือจากรถแท็กซี่แล้ว เรายังสามารถร้องเรียนขนส่งสาธารณะประเภทอื่นๆ ได้ด้วย โดยข้อมูลที่จำเป็นต้องจำได้แก่

  • วันที่เกิดเหตุ
  • สถานที่เกิดเหตุ
  • หมายเลขทะเบียนรถ

การกรอกข้อมูลอื่นๆ อาทิ ชื่อคนขับ จุดหมาย หรือสีรถ อาจจะทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตามตัวรถที่กระทำผิดได้ง่ายมากขึ้น

แบบฟอร์มที่คุณจะพบในหน้าร้องเรียน
ภาพประกอบ:กรมการขนส่งทางบก

จริงอยู่ว่ายุคนี้เป็นยุคที่เงินทองเป็นของหายาก ยิ่งพอข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคาก็ยิ่งแล้วใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รับอนุญาตให้หาเงินด้วยความไม่ซื่อสัตย์ 

เราขอเอาใจช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจช่วงนี้ไปให้ได้

 

Eddie Jirayu: